ผญา
ความเป็นมาของผญา
คน อีสานรู้จักการแต่งผญามาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัด
ได้แต่คาดเดาเอาว่าคงเกิดขึ้นพร้อมๆกับการรู้จักคำความหมายของคำทั้งบาลี
สันสกฤตที่แพร่ขยายมาพร้อมกับอิทธิพลขอมศาสนา
และภาษาโบราณอีสานเองที่มีเป็นเอกลักษณ์อยู่ก่อนแล้ว
ความ
จริงแล้วภาษานั้นมีการพัฒนาขยายตัวมาเป็นลำดับตามความเปลี่ยนแปลงทางการ ศึกษา
เมื่อมีคำและความหมายของคำมากขึ้นคนมักจะพูดหรือนำคำมาเชื่อมติดต่อกันให้มี
ความสละสลวยไพร่เราะมากขึ้นตามลักษณะของคนไทยที่เรียกว่า เป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอน
ซึ้งคนอีสานก็เป็นเช้านั้นเพียงแต่คำคล้องจองของชาวอีสานนั้นไม่ได้เรียกว่า กาพย์
กลอน ฉันท์ ฯลฯ แต่เรียกว่า ”ผญา” คำที่คนโบราณอีสานนำมาเชื่อมต่อเป็นผญานั้นก็เช่นเดียวกันกับที่นัก
ฉันทลักษณ์ไทยนำคำมาแต่งเป็นประพันธ์ชนิดต่างๆนั่นเอง
ซึ่งจะให้ทั้งสาระและความไพรเราะ
คำภาษาอีสานจะมีลักษณะพิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือ
สามารถสื่อความและเปรียบเทียบได้ลึกซึ่งมองเห็นภาพพจน์ได้ชัดเจนกว่าภาษาไทย ทั่งไป
เช่นคำว่า มิดซีลี
มืดตึ้ดตึ๋อ ดำปี้ปี้ แดงจายวาย ฯลฯ
คำที่มีลักษณะเช่นนี้ที่คนโบราณคิดขึ้น นำมาพูดกันแล้วกลายมาเป็นผญาในที่สุด แรกๆนั้นอาจพูดกันชนิดปากต่อปากสืบต่อกันไปเรื่อยๆ
ต่อมามีการประดิษฐ์อักษรขึ้นมาใช้คำผญาจึงถูกจารึกลงในใบลานซึ่งชาวอีสานจะ
รู้ดีในนามหนังสือผูกหรือหนังสือก้อมหรือหนังสือข่อยตามแต่จะเรียก
ผญา นอกจากจะเป็นคติสอนใจให้ข้อคิดแนวทางดำเนินชีวิตต่างๆแล้วยังมีผญาอีกแบบ
หนึ่งที่แพร่หลายมากก็คือ ประเภทเกี้ยวพาลาสี
ซึ่งมักจะแต่งกันแบบสดๆต่อหน้าฝ่ายตรงกันข้ามเลนเช่นเวลาหนุ่มไปเจอสาวอยาก
จะถามข่าวคราวหรืออยากทราบว่าบ้านอยู่ที่ไหนก็จะถามด้วยผญาซึ้งชาวอีสานจะ เรียกว่า “จ่ายผญา” เช่น
ชาย : แม่นเจ้าเนาหนห้อง
สถานที่เมืองได๋ น้องเอ
ขอจงไขวาจา บอกพี่มาดู้น้อง
ขอจงไขวาจา บอกพี่มาดู้น้อง
หญิง : น้องนี้เนาหนห้อง
สารคามก้ำบ้านอยู่
พุ้นแหล้ว
ส่วน มากแล้วผญาเกี้ยวพาลาสีมักจะแต่งหรือจ่ายกันบ่อยที่สุดคือ เวลาหนุ่มไปเจอสาวใน “ลานลงข่วง”ซึ่งเป็นสถานที่สาวๆไปรวมกันเพื่อปั่นฝ้ายในตอนกลางคือบรรดา หนุ่มๆทั่งต่างหมู่บ้านและบ้านเดียวกันก้อจะถือโอกาสนี้มาพูดคุยจ่ายผญา เกี้ยวพาราสีหยอกเย้าสาวๆ
ผญาอีกประเภทหนึ่งคือ ผญาพูดสองแง่สองง่าม
ตีความหมายไปไหนแง่ลามกสกปรกซึ่งชาวอีสานรู้กันดีในนาม “ผญาสอย” คำขึ้นต้นจะมีคำว่า “สอยๆๆ...” แล้วหาคำที่เป็นความหมายสองแง่สองง่ามมาต่อ
ทุกวันนี้ผญาหรือคำคล้องจองประเภทนี้เป็นที่นิยมกันมาก
ผญาภาษิตปรัชญาคำสอน
ผญา ภาษิต คือ
ผญาที่นักปราชญ์โบราณอีสานแต่งขึ้นเพื่อให้เป็นคติสอนใจให้ผู้คนนำไปเป็นแนว
ทางในการดำเนินชีวิต
จะเห็นได้ว่าคนอีสานจากอดีตจนถึงปัจจุบันสามารถดำรงความเป็นหมู่
ความเป็นญาติพี่น้อง
มีการช่วยเหลือเอื้ออาทรมีน้ำใจที่ดีงามต่อกันส่วนใหญ่จะอาศัยแนวคำสอนจาก
ผญาภาษิตซึ่งแทรกปนอยู่ในวรรณคดีอีสานบ้างนิทานพื้นบ้านบ้างเป็นคติในการ
ดำเนินชีวิต
ผญาภาษิตที่พ่อแม่ปู่ย่าตายายนำมาสอนลูกหลานผู้นำทางพิธีกรรมประเพณีนำมาสอน
ชาวบ้าน พระนำมาสอนพุทธศาสนิกชนอ่านหรือฝังแล้วต้องนำมาคิด
พิจารณาไตร่ตรองตีความเพราะบางคำสำนวนได้ซ่อนแฝงความหมายไว้อย่างลึกซึ้งที่
ให้ทั้งแง่คิดและคติเตือนใจเพื่อให้ลูกหลานได้รู้จักฟัง
อ่านและทำความเข้าใจในคำสอนที่มาเป็นผญาเพราะถ้าเป็นคำสั่งสอนที่พูดธรรมดา
เป็นอาจจะนาเบื่อแต่สำหรับคำสอนที่เป็นผญาอาจจะเป็นสิ่งที่แปลกใหม่สำหรับคน
รุ่นหลังก็ว่าได้เพราะฉนั้นผญาก็มีทั้งความโบราณแต่ก็ยังแฝงคำสอนคติเตือนใจ
ต่างๆที่เป็นประโยชน์มากเลยทีเดียว
ตัวอย่างเช่น
· กกบ่เที่ยง
ทางปลายบ่งาม
คนฮูปทราม ศีลธรรมซอยยู้
มีความฮู้ อย่าอวดตัวตน
เกิดเป็นคน อย่าเกิดมาดาย
ให้ขวนขวาย เฮ็ดดีให้ถ้วน
คำแปล ถ้าพื้นฐานเหล่ากอไม่ดีชีวิตตนเองและลูกหลานในภายภาคหน้าก็จะไม่ดีด้วย
คนขี้เหล่หากมีความดีงามมีศีลธรรมจะช่วยให้มีเสน่ห์ได้
มีความรู้ไม่ควรอวดเก่งต้องรู้จักแสวงหาและทำความดีให้มาก
ผญาความรักเกี้ยวพาราสี
ผญา ความรักเกี้ยวพาราสี
เป็นผญาที่คนอีสานสมัยก่อนได้แต่งและคิดขึ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องมือสื่อสาร
ภาษารักระหว่างบ่าวสาว ใช้พูดจาโต้ตอบสื่อความรักกันตามโอกาสอันเหมาะสมต่างๆ
หนุ่มคนใดที่สามารถจ่ายผญาได้ดีมีผญามากและสามารถแต่งขึ้นโต้ตอบได้ทันทีมัก
จะมีภาสีดีกว่า หรือได้เปรียบคู่แข่งก็มักจะมัดใจสาวๆได้ผญาเกี้ยวสาวมักจะจ่ายหรือพูดกันใน
สถานที่ที่สาวๆไปชุมนุมกันมากๆ
ตัวอย่างเช่น
หญิง : แม่นเจ้าเนาหนห้อง
สถานถิ่นเมืองได๋ อ้ายเอย
ใจประสงค์หยังนอ จั่งดวนมาทางนี้
ชาย : อ้ายกะเนาหนห้อง
ร้อยเอ็ดคำก้ำบ้านอยู่ พุ้นแหล้ว
ใจประสงค์อยากได้ซู้ กะเลยล้ำลวงมา น้องเอย
เป็นต้น
ดังนั้น ผญาจึงนับว่าเป็นวัฒนธรรมประเพณีอันล่ำค่าของคนอีสานอีกอย่างหนึ่งที่เราควรสืบสารและรักษาให้คงอยู่สืบไป
หนังสือ ผญา