วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ผญา

ผญา




ความเป็นมาของผญา
            คน อีสานรู้จักการแต่งผญามาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัด ได้แต่คาดเดาเอาว่าคงเกิดขึ้นพร้อมๆกับการรู้จักคำความหมายของคำทั้งบาลี สันสกฤตที่แพร่ขยายมาพร้อมกับอิทธิพลขอมศาสนา และภาษาโบราณอีสานเองที่มีเป็นเอกลักษณ์อยู่ก่อนแล้ว
          ความ จริงแล้วภาษานั้นมีการพัฒนาขยายตัวมาเป็นลำดับตามความเปลี่ยนแปลงทางการ ศึกษา เมื่อมีคำและความหมายของคำมากขึ้นคนมักจะพูดหรือนำคำมาเชื่อมติดต่อกันให้มี ความสละสลวยไพร่เราะมากขึ้นตามลักษณะของคนไทยที่เรียกว่า เป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอน ซึ้งคนอีสานก็เป็นเช้านั้นเพียงแต่คำคล้องจองของชาวอีสานนั้นไม่ได้เรียกว่า กาพย์ กลอน ฉันท์ ฯลฯ แต่เรียกว่า ผญา คำที่คนโบราณอีสานนำมาเชื่อมต่อเป็นผญานั้นก็เช่นเดียวกันกับที่นัก ฉันทลักษณ์ไทยนำคำมาแต่งเป็นประพันธ์ชนิดต่างๆนั่นเอง ซึ่งจะให้ทั้งสาระและความไพรเราะ
คำภาษาอีสานจะมีลักษณะพิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือ สามารถสื่อความและเปรียบเทียบได้ลึกซึ่งมองเห็นภาพพจน์ได้ชัดเจนกว่าภาษาไทย ทั่งไป เช่นคำว่า มิดซีลี มืดตึ้ดตึ๋อ ดำปี้ปี้ แดงจายวาย ฯลฯ คำที่มีลักษณะเช่นนี้ที่คนโบราณคิดขึ้น นำมาพูดกันแล้วกลายมาเป็นผญาในที่สุด แรกๆนั้นอาจพูดกันชนิดปากต่อปากสืบต่อกันไปเรื่อยๆ ต่อมามีการประดิษฐ์อักษรขึ้นมาใช้คำผญาจึงถูกจารึกลงในใบลานซึ่งชาวอีสานจะ รู้ดีในนามหนังสือผูกหรือหนังสือก้อมหรือหนังสือข่อยตามแต่จะเรียก
          ผญา นอกจากจะเป็นคติสอนใจให้ข้อคิดแนวทางดำเนินชีวิตต่างๆแล้วยังมีผญาอีกแบบ หนึ่งที่แพร่หลายมากก็คือ ประเภทเกี้ยวพาลาสี ซึ่งมักจะแต่งกันแบบสดๆต่อหน้าฝ่ายตรงกันข้ามเลนเช่นเวลาหนุ่มไปเจอสาวอยาก จะถามข่าวคราวหรืออยากทราบว่าบ้านอยู่ที่ไหนก็จะถามด้วยผญาซึ้งชาวอีสานจะ เรียกว่า    “จ่ายผญาเช่น 






   ชาย : แม่นเจ้าเนาหนห้อง        สถานที่เมืองได๋ น้องเอ
  
ขอจงไขวาจา               บอกพี่มาดู้น้อง
          หญิง : น้องนี้เนาหนห้อง          สารคามก้ำบ้านอยู่  พุ้นแหล้ว




        
      
ส่วน มากแล้วผญาเกี้ยวพาลาสีมักจะแต่งหรือจ่ายกันบ่อยที่สุดคือ เวลาหนุ่มไปเจอสาวใน ลานลงข่วงซึ่งเป็นสถานที่สาวๆไปรวมกันเพื่อปั่นฝ้ายในตอนกลางคือบรรดา หนุ่มๆทั่งต่างหมู่บ้านและบ้านเดียวกันก้อจะถือโอกาสนี้มาพูดคุยจ่ายผญา เกี้ยวพาราสีหยอกเย้าสาวๆ
          ผญาอีกประเภทหนึ่งคือ ผญาพูดสองแง่สองง่าม ตีความหมายไปไหนแง่ลามกสกปรกซึ่งชาวอีสานรู้กันดีในนาม ผญาสอย คำขึ้นต้นจะมีคำว่า สอยๆๆ...แล้วหาคำที่เป็นความหมายสองแง่สองง่ามมาต่อ ทุกวันนี้ผญาหรือคำคล้องจองประเภทนี้เป็นที่นิยมกันมาก
         
ผญาภาษิตปรัชญาคำสอน
            ผญา ภาษิต คือ ผญาที่นักปราชญ์โบราณอีสานแต่งขึ้นเพื่อให้เป็นคติสอนใจให้ผู้คนนำไปเป็นแนว ทางในการดำเนินชีวิต จะเห็นได้ว่าคนอีสานจากอดีตจนถึงปัจจุบันสามารถดำรงความเป็นหมู่ ความเป็นญาติพี่น้อง มีการช่วยเหลือเอื้ออาทรมีน้ำใจที่ดีงามต่อกันส่วนใหญ่จะอาศัยแนวคำสอนจาก ผญาภาษิตซึ่งแทรกปนอยู่ในวรรณคดีอีสานบ้างนิทานพื้นบ้านบ้างเป็นคติในการ ดำเนินชีวิต
          ผญาภาษิตที่พ่อแม่ปู่ย่าตายายนำมาสอนลูกหลานผู้นำทางพิธีกรรมประเพณีนำมาสอน ชาวบ้าน พระนำมาสอนพุทธศาสนิกชนอ่านหรือฝังแล้วต้องนำมาคิด พิจารณาไตร่ตรองตีความเพราะบางคำสำนวนได้ซ่อนแฝงความหมายไว้อย่างลึกซึ้งที่ ให้ทั้งแง่คิดและคติเตือนใจเพื่อให้ลูกหลานได้รู้จักฟัง อ่านและทำความเข้าใจในคำสอนที่มาเป็นผญาเพราะถ้าเป็นคำสั่งสอนที่พูดธรรมดา เป็นอาจจะนาเบื่อแต่สำหรับคำสอนที่เป็นผญาอาจจะเป็นสิ่งที่แปลกใหม่สำหรับคน รุ่นหลังก็ว่าได้เพราะฉนั้นผญาก็มีทั้งความโบราณแต่ก็ยังแฝงคำสอนคติเตือนใจ ต่างๆที่เป็นประโยชน์มากเลยทีเดียว

  ตัวอย่างเช่น
·                กกบ่เที่ยง       ทางปลายบ่งาม                             
          คนฮูปทราม     ศีลธรรมซอยยู้
          มีความฮู้         อย่าอวดตัวตน
          เกิดเป็นคน      อย่าเกิดมาดาย
          ให้ขวนขวาย    เฮ็ดดีให้ถ้วน   
 คำแปล  ถ้าพื้นฐานเหล่ากอไม่ดีชีวิตตนเองและลูกหลานในภายภาคหน้าก็จะไม่ดีด้วย คนขี้เหล่หากมีความดีงามมีศีลธรรมจะช่วยให้มีเสน่ห์ได้  มีความรู้ไม่ควรอวดเก่งต้องรู้จักแสวงหาและทำความดีให้มาก

ผญาความรักเกี้ยวพาราสี
            ผญา ความรักเกี้ยวพาราสี เป็นผญาที่คนอีสานสมัยก่อนได้แต่งและคิดขึ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องมือสื่อสาร ภาษารักระหว่างบ่าวสาว ใช้พูดจาโต้ตอบสื่อความรักกันตามโอกาสอันเหมาะสมต่างๆ หนุ่มคนใดที่สามารถจ่ายผญาได้ดีมีผญามากและสามารถแต่งขึ้นโต้ตอบได้ทันทีมัก จะมีภาสีดีกว่า หรือได้เปรียบคู่แข่งก็มักจะมัดใจสาวๆได้ผญาเกี้ยวสาวมักจะจ่ายหรือพูดกันใน สถานที่ที่สาวๆไปชุมนุมกันมากๆ

ตัวอย่างเช่น
         หญิง : แม่นเจ้าเนาหนห้อง          สถานถิ่นเมืองได๋  อ้ายเอย
      ใจประสงค์หยังนอ            จั่งดวนมาทางนี้

               ชาย : อ้ายกะเนาหนห้อง           ร้อยเอ็ดคำก้ำบ้านอยู่  พุ้นแหล้ว
                           ใจประสงค์อยากได้ซู้        กะเลยล้ำลวงมา  น้องเอย               เป็นต้น   
                                                                
ดังนั้น ผญาจึงนับว่าเป็นวัฒนธรรมประเพณีอันล่ำค่าของคนอีสานอีกอย่างหนึ่งที่เราควรสืบสารและรักษาให้คงอยู่สืบไป 








        หนังสือ  ผญา

 ผู้แต่ง สำลี รักสุทธี

ตำแหน่งครูวิทยฐานะ ครูเชี่ยวชาญ

 










































วันเสาร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ประเพณีกินดอง



ประเพณีกินดอง






      
         ประเพณีแต่งงาน หรือ ภาษาพื้นบ้านของชาวอีสาน เรียกกันว่า กินดอง มีความหมายว่าจะต้องเป็นวงศาคณาญาติต่อไปในกาลข้างหน้า หรือเรียกกันง่ายๆอีกอย่างหนึ่งว่าพิธี เอาผัวเอาเมีย เป็นวัฒนธรรมของคนรุ่นเก่า เริ่มตั้งแต่การสู่ขอ การหมั้น และการแต่งงาน




พิธี นี้เริ่มจากการสู่ขอหรือ ภาษาพื้นเมืองว่า การขอเมีย คือนับตั้งแต่เมื่อชายและหญิงเกิดรักใคร่ ตกลงปลงใจที่จะแต่งงานเป็นสามีภรรยากัน ฝ่ายชายก็จะบอกกล่าวพ่อแม่ให้จัดญาติผู้ใหญ่เป็นเถ้าแก่และพ่อล่ามอีกคน หนึ่ง ถือดอกไม้ ธูปเทียน ไปร้องขอต่อพ่อแม่ของฝ่ายหญิงที่บ้าน เมื่อเกิดการตกลงยินยอมกันในเรื่องต่างๆรวมทั้งสินสอดและทองหมั้น หรือที่เรียกว่า ค่าดองแล้วก็จะมีการกำหนดวันแต่งงาน ที่นิยมกันคือ วันใดวันหนึ่งในเดือนคู่ข้างขึ้น คือ วันที่ 2, 4 และ 6 เดือนยี่ 4, 6และ 12 เว้นแต่เดือนในระหว่างเข้าพรรษาคือเดือน 8-11 ไม่นิยมจัดพิธีแต่งงาน
ธีแต่งงาน






เมื่อถึงวันงานและได้ฤกษ์พิธีแห่ ตามที่กำหนดไว้แล้ว ฝ่ายเจ้าบ่าวก็จะยกขันหมาก ประกอบด้วยเครื่องบายศรี สินสอด หมอนหนุน และหมอนอิง มีดนตรี อาทิ เช่น แคน ซึง กลอง มาร่วมขบวนแห่ด้วย เมื่อมาถึงบ้านเจ้าสาวตามประเพณีธรรมเนียมจะมีการกั้นประตูทองและเมื่อผ่าน ไปแล้ว ญาติทางฝ่ายเจ้าสาวจะเป็นผู้ล้างเท้าทำความสะอาดให้กับเจ้าบ่าวก่อนย่างขึ้น บ้าน






                           เมื่อเจ้าบ่าวและญาติพร้อมหน้าอยู่ที่วงบายศรีแล้ว ญาติฝ่ายเจ้าสาวจึงนำตัวเจ้าสาวออกมาจากห้อง เพื่อเข้าสู่พิธีบายศรี โดยมีหมอบายศรีสูงวัยเป็นผู้ประกอบพิธี จนกระทั่งหมอบายศรีเริ่มผูกข้อมือให้กับเจ้าบ่าวและเจ้าสาวพร้อมกับอวยพร แล้วบรรดาญาติและแขกที่มาร่วมงานทุกคนจึงเริ่มผูกข้อมืออวยพร ต่อจากนั้นเจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะนำขันดอกไม้ ธูปเทียนไปกราบไหว้พ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ทุกๆฝ่าย หลังจากนั้นจึงส่งตัวเข้าหอ
 เพื่อประกาศให้รู้ว่าได้เอาผัวเอาเมียกันเรียบร้อยแล้ว
                             



                         
จากนั้นอีก 2-3 วัน ต่อมา คู่สมรสจะต้องนำดอกไม้ ธูปเทียนไปไหว้ญาติพี่น้อง วงศาคณาญาติชั้นผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือทั้งสองฝ่าย พิธีไหว้ระยะนี้ชาวพื้นบ้านเรียนกว่า ไหว้สมา ซึ่งพวกญาติผู้ใหญ่ก็จะให้ทรัพย์สินเงินทองและอวยพรให้คู่บ่าวสาวมีความสุข ความเจริญต่อไป 












แหล่งที่มา
จากหนังสือ ความรู้รอบตัว ขนบธรรมเนียมและประเพณีไทย
 โดย ชุลีพร สุชิราภรณ์
ขอขอบคุณภาพจาก
http://m.thairath.co.th/gallery/view/ent/5182?no=8


เพิ่มเติมค่ะ เครดิต K.ATOMLEGO ได้ภาพมาจาก facebook พี่ป๊อก
และ กระทู้จากพันทิพย์ http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A12246582/A12246582.html






วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ประเพณีบวช


                                   ประเพณีบวช


                                                      
         บวช หมายถึง สละเหย้าเรือนออกเป็นนักบวช ไม่ว่าในศาสนาใดก็ตามต้องเป็นคนไม่มีเหย้าเรือน ไม่มีภรรยา    ประเพณีบวช เป็นการปฏิบัติที่สืบเนื่องมาจากความเลื่อมใสศรัทธาในศาสนาพุทธของพุทธศาสนิกชน โดยตามประเพณีปฏิบัติในการบวชนั้น ชายที่มีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์จะต้องเข้าพิธีอุปสมบท (อุปสมบท หมายถึงการบวชเป็นภิกษุ) เพื่อศึกษาพระธรรมให้เข้าใจชีวิต และสามารถนำมาใช้ในการครองชีวิตต่อไปในภายภาคหน้าได้อย่างสงบสุขและมีสติ
        การบวช นิยมบวชตามประเพณีในช่วงก่อนวันเข้าพรรษา เพื่อที่จะได้สามารถอยู่ศึกษาพระธรรมตลอดจนระยะเวลาเข้าพรรษา ประมาณ 3 เดือน ก็จะลาสิกขาเมื่อพ้นวันออกพรรษาแล้ว แต่ถ้าบวชต่อไปก็ได้แล้วแต่ความสะดวก หากไม่ได้บวชในช่วงตามประเพณีระยะเวลาในการบวชขึ้นอยู่กับความสะดวกของผู้ บวชเช่นกัน โดยส่วนใหญ่จะประมาณ 15 วัน หรือ 1 เดือน  คนไทยมีความเชื่อที่ว่าการที่บุตรชายได้บวชจะทำให้บิดามารดาได้เกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์ และการบวชถือเป็นการทดแทนพระคุณบิดามารดาด้วยก่อนการจะบวชต้องไปพบเจ้าอาวาสเพื่อหาฤกษ์บวช เมื่อกำหนดวันบวชได้แล้วผู้ที่จะบวชจะต้องมาลาญาติมิตรเพื่อขอขมาและต้องไป อยู่วัดก่อนบวชประมาณ 15 วัน ในการขอขมานาคจะนำดอกไม้ ธูป เทียนแพไปกราบลาเพื่อขออโหสิ ผู้บวชจะต้องท่องคำขอบวช และฝึกซ้อมขั้นตอนวิธีการบรรพชาจากพระพี่เลี้ยง เตรียมเครื่องใช้ที่จำเป็นซึ่งเรียกว่า เครื่องอัฐบริขาร มี 8 อย่าง คือ บาตร จีวร สบง สังฆาฏิ ผ้าประคดเอว หม้อกรองน้ำ กล่องเข็มพร้อมด้าย มีดโกนและหินลับมีด
         ในพิธีการโกนผมนาค สามารถจัดที่วัดหรือที่บ้านก็ได้แล้วแต่ความเหมาะสม โดยเชิญญาติผู้ใหญ่ ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ มาทำการตัดผมนาค โดยนำผมปอยที่ตัดวางไว้บนใบบัวที่นาคถือ หลังจากนั้นพระจะเป็นผู้โกนให้โดยจะโกนผมและคิ้วจนเกลี้ยงเกลา ส่วนผมในใบบัวนั้นจะนำห่อใบบัว ไปลอยในแม่น้ำลำคลอง หลังจากนั้นก็จะมีพิธีอาบน้ำนาคโดยใช้น้ำผสมเครื่องหอมต่างๆ เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้ว นาคจะนุ่งชุดขาวเพื่อประกอบพิธีทำขวัญนาคต่อไป ในพิธีการทำขวัญนาคจะมีการเทศน์สอนนาคให้ระลึกถึงบุญคุณของบิดา มารดา การทดแทนพระคุณ และคุณประโยชน์ในการบวชเรียน และคำกล่าวนี้จะเป็นคำร้องหรือ การแหล่ และมีความไพเราะกินใจ ทำให้นาคเกิดความซาบซึ้ง ทั้งนี้เพื่อเป็นการปลุกเร้าให้นาคมีกำลังใจและตั้งใจที่จะบวชเรียน
         ในตอนเช้าวันรุ่งขึ้นจะมีการแห่นาคจากบ้านไปวัด มีขบวนนำด้วย ขบวนกลองยาว แตรวง และขบวนรำขบวนญาติพี่น้องที่ถือเครื่องอัฐบริขารแต่บิดาจะถือตาลปัตรสะพาย บาตร มารดาอุ้มผ้าไตร ขบวนจะแห่เวียนขวารอบโบสถ์ 3 รอบ หรือที่เรียกว่าทักษิณาวัตรเมื่อแห่ครบแล้วนาคยืนหน้าโบสถ์ทำพิธีวันทาเสมาและยืนโปรยทานซึ่งส่วนใหญ่ ใช้เหรียญบาท หลังจากนั้นนาคก็จะเข้าโบสถ์โดยญาติพี่น้องจะอุ้มนาค โดยไม่ให้เท้านาคเหยียบธรณีประตู เนื่องจากความเชื่อที่ว่าเป็นการส่งนาคสู่ร่มกาสาวพัสตร์ส่งผลสู่นิพพาน ผู้ร่วมนำส่งก็จะได้ผลบุญกุศลด้วย ต่อจากนั้นก็จะเข้าสู่พิธีบวชนาค จะมีพระอุปัชฌาย์เป็นประธาน และคณะสงฆ์มาประชุมพร้อมกันซึ่งในตอนแรกจะต้องกล่าวคำขอบรรพชาเป็นสามเณร ก่อน เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนแรกนาคจะไปเปลี่ยนผ้านุ่งแบบสมณะเพศ แล้วกลับเข้ามากล่าวคำขออุปสมบทต่อไป
         พระอุปัชฌาย์จะมีการกล่าวสอนในเรื่องการปฏิบัติตนในเพศสมณะหรือแล้วแต่พระ อุปัชฌาย์และเมื่อภิกษุใหม่ถวายเครื่องไทยธรรม พระสงฆ์กล่าวอนุโมทนาคาถา และญาติกรวดน้ำถือว่าเป็นอันเสร็จพิธี หลังจากนั้นก็จะเป็นการฉลองซึ่งขึ้นอยู่กับเจ้าภาพ
             
 ประเพณีปอยส่างลอง

         
        ปอยส่างลอง คือ งานบวชลูกแก้วเป็นสามเณรในพระพุทธศาสนาของชาวไทยใหญ่ ชาวไทยใหญ่มีความเชื่อกันว่าผู้ที่ได้จัดงานบรรพชาสามเณรหรือได้อุปสมบทพระ ภิกษุไว้ในพระศาสนาจะได้บุญกุศลอานิสงส์มากล้น กล่าวคือถ้าได้บวชลูกตนเป็นสามเณรจะได้อานิสงส์ 7กัลป์ บวชลูกชายคนอื่นเป็นสามเณรได้อานิสงส์4กัลป์ถ้าได้อุปสมบทลูกตนเองเป็นพระ ภิกษุสงฆ์ได้อานิสงส์ถึง12 กัลป์ อุปสมบทลูกคนอื่นเป็นพระภิกษุสงค์ได้อานิสงส์ 8 กัลป์ ช่วงระยะเวลาในการจัดงานจะนิยมจัดในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 

             
    วิธีจัดงานบวชเณรของชาวไทยใหญ่นั้นมี 2วิธี คือ
    แบบ ข่ามดิบ เป็น วิธีง่ายๆประหยัดไม่ต้องใช้เวลาในการเตรียมงานและไม่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย มาก วิธีการคือ พ่อแม่ก็จะโกนหัวเด็กหรือนำเด็กไปโกนหัวที่วัด นุ่งขาว ห่มขาว เตรียมเครื่องไทยทาน อัฎฐบริขารที่จำเป็นต้องใช้ไปทำพิธีขอบรรพชาที่วัดเป็นอันเสร็จพิธี
    แบบส่างลอง เป็นวิธีที่ต้องเตรียมงานกันนานค่าใช้จ่ายสูงใช้เวลา 3-5วัน มีการเชิญผู้มาร่วมงานเป็นจำนวนมากหลังจากเตรียมงานแล้วนำเด็กโกนหัวแต่งตัวเป็น ส่างลอง นี้เป็นที่นิยมจัดกันมากทุกหมู่บ้านถือกันว่า เป็นบุญกุศลของผู้จัดและเป็นสง่าราศีแก่หมู่บ้านและท้องถิ่นนั้นๆ
     เมื่อตกลงว่าจะจัดงานปอยส่างลอง ขึ้นในหมู่บ้าน ผู้ที่จะเป็นเจ้าภาพจะมาร่วมปรึกษาเตรียมงานเตรียมคน และเตรียมสิ่งของเครื่องใช้ เครื่องไทยทานและสิ่งของอื่นๆ
    การเตรียมงานมีการตกลงกันว่ามอบหมายให้ใครเป็น ตะก่าโหลง หรือเจ้าภาพใหญ่และเจ้าภาพร่วมโดยทั่วไปตะก่าโหลง มัก จะเป็นผู้ที่มีฐานะดีในหมู่บ้านหรือผู้ที่ได้รับการยกย่องในหมู่บ้านนั้น เช่นผู้ใหญ่บ้าน กำนัน จากนั้นจะตกลงวันเวลาในการจัดงานว่าจะจัดช่วงไหน จัดกี่วัน นอกจากนี้จะตกลงกันมนเรื่องค่าใช้จ่ายเช่นค่าอาหาร ค่าเครื่องไทยทาน จำนวนพระภิกษุสงฆ์ที่จะนิมนต์มารับเครื่องไทยทานจำนวนแขกที่จะเชิญมาร่วมงาน การเตรียมสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆการจัดเตรียมสถานที่เช่นการประกอบอาหาร ที่พักหลับนอนสำหรับส่างลองและเตรียมทำความสะอาดวัดที่ใช้เป็นทีประกอบพิธี สงฆ์
    เมื่อตกลงเรื่องการเตรียมงานแล้วก็จะมีการแบ่งงานกัน เช่น เจ้าภาพใหญ่ตะก่าโหลงจะ เตรียมต้นตะเป่ส่า หรือต้นกัลปพฤกษ์จำนวน2ต้น สำหรับถวายวัดและถวายพระพุทธเจ้าเตรียมเครื่องประกอบอาหารและอุปกรณ์หรือ เจ้าภาพต่างๆจะมาช่วยกันรวมทั้งจัดเตรียมสิ่งของเครื่องใช้ของส่างลองสำหรับ เจ้าภาพเครื่องไทยทานอัฎฐบริขารและเครื่องประโคมฆ้องกลอง
      เจ้า ภาพที่ร่วมจัดงานปอยส่างลองจะต้องเตรียมเครื่องแต่งกายเครื่องใช้ส่างลอง เครื่องไทยทานอัฎฐบริขาร ร่มส่างลองและ ตะแป่ส่างลอง หรือพี่เลี้ยงส่างลองด้วย
    หลัง จากที่ได้ประชุมตกลงเรื่องการเตรียมงานแล้วจะมีการประชุมเตรียมคนเชิญผู้ เกี่ยวข้องการจัดงานเช่น เจ้ามื้อ ผู้ที่จะมาปรุงอาหาร หัวหน้าตะแป่ส่างลอง คือผู้ที่จะเป็นหัวหน้าพี่เลี้ยงซึ่งมีหน้าที่ดูแลพี่เลี้ยงส่างลอง และเงินทองข้าวของเครื่องใช้ส่างลองด้วย ตะแป่ส่างลอง จะดูแลส่างลอง ตั้งแต่อาบน้ำ แต่งตัว ทานข้าว หลับนอน และนำขี่คอไปที่ต่างๆกางร่มให้และดูแลความปลอดภัยตลอด 7 วัน หรือ 5 วัน ไม่ให้คลาดสายตาเพราะบางครั้งจะมีการนำส่างลองไปแอบซ่อนไว้ที่ใดที่หนึ่งไม่ ให้ยอมทำพิธีบรรพชาเป็นสามเณรเจ้าภาพจะต้องนำ อะซู คือรางวัลไปมอบให้จึงจะได้ส่างลองกลับคืนมาการประชุมก็จะมีการมอบหมายงานโดย ทั่วไป ส่างลอง 1 คน จะมีตะแป่ 2-3 คน
      หลัง จากมีการประชุมกันแล้วเจ้าภาพหรือพ่อแม่จะนำบุตรของตนไปฝากไว้กับวัดเพื่อ ให้เจ้าอาวาสสอบอบรมสั่งสอนหัดให้ท่องจำคำขอบรรพชา คำให้ศีล ให้พร ใช้เวลา 7 ถึง 10 วันก่อนถึงวันงาน
     เมื่อ ทุกอย่างตกลงกันจะมีการประกาศจัดงานเชิญแขกมาร่วมงานปอยส่างลอง การเชิญแขกแต่เดิมใช้ ธูปเมี่ยง คือนำเมี่ยงมาห่อด้วยใบตองอย่างสวยงามแล้วมอบหมายให้หนุ่มสาวเป็นผู้นำไปแจก ตามบ้านที่จะเชิญแล้วแจ้งการจัดการปอยส่างลองว่าเจ้าภาพจะจัดงานปอยส่างลอง จำนวนกี่องค์ วันไหนรับส่างลอง วันไหนแห่คัวหลู่ (แห่เครื่องไทยทาน) และวันไหนเป็นวันนำส่างลองไปบรรพชาเป็นสามเณรการเชิญแขกในปัจจุบันใช้เทียน ไขแทนส่วนการนิมนต์พระเป็นหน้าที่ของคนเฒ่าคนแก่นำกรวยดอกไม้ธูปเทียนไป นิมนต์ที่วัด
     ใกล้ถึงวันงาน 2-3 วันที่บ้านเจ้าภาพจะมีคนมาช่วยจัดเตรียมสิ่งต่างๆเช่น เมี่ยงโก้ คือเมี่ยงปรุงเครื่อง มวนบุหรี่ ห่อ หมากพลูทำ ข้าวพ้องต่อ คือขนมชนิดหนึ่งที่ทำจากน้ำแป้งมาคลุกเคล้าทำเป็นแผ่นบางๆตัดให้กว้างขนาด1 x 1 นิ้ว นำไปตากให้แห้งแล้วนำมาทอดฉาบหรือโรยด้วยน้ำอ้อยเคี่ยวขนมอีกอย่างคือ ข้าวแตกปั้น หรือข้าวตอกปั้นทำจากขั่วข้าวตอกนำไปฉาบน้ำอ้อยเคี่ยวเป็นก้อนกลมเมื่อถึง วันงานแขกมาร่วมงานเจ้าภาพจะต้อนรับแขกด้วยน้ำใส่ในคนโท ข้าวพองต่อ ข้าวแตกปั้น เมี่ยงบุหรี่ หมากพลูจัดใส่จานมาต้อนรับ
     ช่วง ใกล้งานผู้ที่มีผีมือตกแต่งจะมาร่วมกันตกแต่งเครื่องไทยทาน อัฏฐบริขาร ต้นตะเป่ส่า ปุ๊กข้าวแตก ตกแต่ง กลางคืนมีการติดไฟสว่างไสวให้ผู้มาร่วมเตรียมงานพร้อมกับนำ กลองมองเซิง และมีฉาบฉิ่งมาตีประกอบตกดึกจะมี เฮ็ดกวาม คือการร้องเพลงไทยใหญ่คล้ายแหล่ภาคกลางมาร้องสรรเสริญเจ้าภาพและเกี้ยว พาราสีกัน
   ก่อน ถึงวันงาน 1 วันพ่อแม่เด็กหรือเจ้าภาพงานจะนำเด็กที่เป็นส่างลองไปทำพิธีโกนผมที่วัดโดย มีพ่อแม่เด็กหรือผู้ใหญ่ตัดให้ก่อนแล้วจึงให้ช่างโกนเสร็จแล้วนำไปอาบ น้ำเงิน น้ำทอง น้ำขมิ้น ส้มป่อย เพื่อเป็นสิริมงคล ปะแป้ง นุ่งขาวห่มขาว รับศีล5จากพระแล้วจึงกลับมานอนที่บ้านหรือบางทีก็นอนที่วัด
      งานวันส่างลองที่นิยมจัดกันทั่งไปแบ่งเป็น 4 วัน คือ
     วัน แรกรับส่างลองคือตอนเช้านำเด็กไปที่วัดแต่งชุดส่างลองรับศีลแล้วนำส่างลองไป ขอขมาเจ้าเมืองพระสงค์ตามวัดต่างๆและไปขอขมาตามบ้านญาติและผู้ที่เคารพรัก ใคร่ของเจ้าภาพและนำส่างลองกลับไปนอนที่บ้านเจ้าภาพ
    วัน ที่สอง มีพิธีสำคัญ 3 อย่างคือตอนเช้าจะมีการ แห่คัวหลู่ หรือแห่เครื่องไทยทานตอนเย็นเลี้ยงอาหารส่างลองมื้อพิเศษและทำพอธีเรียกขวัญ ส่างลอง
    ตอน เช้าในการแห่เครื่องไทยทานหรือ แห่คัวหลู่ จะมีผู้คนมาร่วมขบวนแห่กันมากมายส่างลองแต่งกายชุดไทยใหญ่หลากสีสันสวม เครื่องประดับเต็มที่ขบวนแห่จะตั้งขบานแห่ที่บ้านเจ้าภาพใหญ่เพื่อแห่ไปยัง วัดประจำหมู่บ้านขบวนเครื่องไทยทานประกอบด้วยส่วนต่างๆดังนี้
     จี เจ่(กังสดาล) จะอยู่หน้าขบวนใช้คนหามสองคนคนหลังเป็นผูตีเปลี่ยนกันตี ตีเป็นจังหวะๆไป เชื่อว่าเสียงจีเจ่เป็นการประกาศการทำบุญให้เทวบุตร เทวดา ผู้คนทั่วไปได้รับรู้
      อุ๊บพระพุทธ คือ เครื่องสักการะพระพุทธเจ้าประกอบด้วยดอกไม้ ธูปเทียน กล้วย ยาเส้น กรวยดอกไม้ ขนม จัดใส่ภาชนะใช้คนแบกหาม 2 คน เพื่อนำไปถวายพระพุทธเจ้า
     ม้า เจ้าเมือง โดยคัดม้าที่มีรูปร่างลักษณะสวย สง่างามและเชื่องนำมาตกแต่งประดับด้วยดอกไม้และเครื่องทรงอื่นปูด้วยผ้าก่อน นำมาร่วมขบวนแห่จะนำไปอัญเชิญเจ้าเมืองที่ศาลประจำเมืองหรือศาลประจำหมู่ บ้านจัดมาร่วมขบวนแห่เพื่อเป็นศรีสง่ามิ่งมงคลและนำความร่มเย้นเป็นสุขมาสู่ การจัดปอยส่างลอง
     ต้นตะเป่ส่าพระพุทธ  คล้าย จองพาราหรือปราสาทพระมีโครงสร้างทำด้วยไม่ไผ่กรุกระดาษสาตกแต่งด้วยลายเจาะ กระดาษสีสันต่างๆวางบนฐานสี่เหลี่ยมผูกไม่ไผ่2คานใช้ชายหาม4คนจัดทำเพื่อ ถวายพระพุทธนับว่าเป็นจุดเด่นที่สำคัญของขบวนแห่เจ้าภาพจะสั่งทำเป็นพิเศษ เล็กใหญ่สวยงามขึ้นอยู่กับฐานะเจ้าภาพ
         ต้นตะเป่ส่าถวายวัด คล้ายต้นตะเปสาพระพุทธต่างกันที่เครื่องห้อยโดยเครื่องห้อยทั้งหมดจะเป็น เครื่องใช้ที่ใช้สำหรับวัด เช่น จาน ชาม กะละมัง หม้อข้าว หม้อแกง ช้อน  แก้ว
         ปุ๊กข้าวแตก คือ ห่อข้าวตอกด้วยกระดาษสาผูกติดกับธงสามเหลี่ยมที่เรียกว่า ธงจ๊ากจ่า และมัดผูกติดกับลำไม้ไผ่ตกแต่งให้สวยงาม ปุ๊กข้าวแตกจะต้องมีในขบวนแห่จำนวนขึ้นอยู่กับจำนวนส่างลอยผู้ถือเป็นชาย
         เทียนเงินเทียนทองคือ ธูปเทียนแพเป็นเครื่องบูชาสำหรับส่างลอยจะนำไปถวายแด่พระอุปัชฌย์ใช้จำนานเท่ากับส่างลอย มีหญิงสาวเป็นผู้ถือแห่
           อู่ต่องปานตองคือกรวยหมาก กรวยพลู และกรวยดอกไม้ สำหรับส่างลอยนำไปใช้และบูชา
           หม้อน้ำเก่าหม้อ ดินห่อผ้าขาวเสียบด้วยใบไม่ที่เป็นสิริมงคล 9 ชนิด คือ ใบสะเป่(ใบหว้า) เหนจ่า (หญ้าแพรก) ก๊าด ใบเก่า (ใบปรั่ง) ก้ำก่อ(ดอกบุนนาก) ยอกกุ่ม(ไม้กุ่มยอดใช้ดอกกินได้) ไม้แข ไม้แห้ และไม้กาง ชื่อไม้แต่ละชนิดมีความหมายถึงความเป็นสิริมงคล การกั้นออก แคล้วคลาดจัดไว้เชื่อว่าเป็นสิริมงคลและป้องกันอันตรายต่างๆนานาใช้ผู้หญิง เป็นผู้ถือในขบวน
           ดนตรีประโคมจะใช้กลองมองเชิง ผูกกลอง ฆ้อง ติดคาน ไม้ไผ่หามและตีไปในขบวนแห่ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายวัยกลางคน 9-10คนตี
  เครื่องไทยทาน สำหรับถวายพระสงฆ์ ที่นิมนต์มาในงานใช้หญิงสาวเป็นผู้ถือ
            อัฏฐบริขาร คือ ของใช้สำหรับสามเณรประกอบด้วย ผ้าส่างการ คือจีวร บาตร เครื่องนอนและของใช้อื่นๆ มัดผูกติดไว้กับไม่ไผ่ใช้แม่บ้านหรือพ่อบ้านเป็นผู้แบกหามร่วมขบวน
ขบ วนส่างลอง ในขบวนแห่เครื่องไทยทาน ส่างลองตะแป่และผู้ร่วมขบวนจะแต่งกายสวยงามเป็นพิเศษมาร่วมขบวนทั้งหมดมี กลองก้นยาวตีให้จังหวะฟ้อนรำ
คณะ บ้องไฟเป็นขบวนสุดท้ายจัดทำบ้องไฟด้วยไม่ไผ่คาดหวายอัดดินปีนนำมาร่วมขบวน แห่เพ่อเป็นสิริมงคลและจุดเฉลิมฉลองการจัดงานปอยส่างลองในวันสุดท้าย
ขบวน แห่เครื่องไทยทานจะออกจากบ้านเจ้าภาพผ่านถนนสายสำคัญไปสู่วัดระหว่างทางจะมี คนเฒ่าคนแก่นำข้าวตอกดอกไม้โปรยให้กับผู้ร่วมขบวนแห่คณะต่างๆเป็นการ อนุโมทนาสาธุในการทำบุญขบวนแห่จะไปสิ้นสุดที่วัดแห่เวียนรอบวัดอีก3 รอบจึงนำเครื่องไทยทานไปเก็บตั้งแสดงหน้าพระพุทธรูปจากนั้นเจ้าภาพจะเลี้ยง อาหารผู้มาร่วมขบวนแห่
ตอน เย็นที่บ้านเจ้าภาพใหญ่หรืออาจใช้สถานที่วัดเป็นที่เลี้ยงอาหารส่างลองเต็ม รูปแบบและจัดเป็นมื้อพิเศษอาหารที่จะนำมาเลี้ยงจะมีจำนวน 12 อย่าง การเลี้ยงนั้นเป็นหน้าที่ของบิดามารดา
  ยกสำหรับอาหารมาวางให้ส่างลองและป้อนอาหาร ขนมหวาน น้ำ ให้ส่างลองที่ไม่มีพ่อแม่หรือญาติเจ้าภาพที่บวชจะเป็นผู้ป้อนอาหารให้จนอิ่ม
หลัง เสร็จพิธีเลี้ยงอาหารส่างลองเป็นการทำพิธีเรียกขวัญส่างลองโดยนำบายศรีมาจัด วางหน้าส่างลองแล้วหมอขวัญหรือผู้อาวุโสจะทำหน้าที่เรียกขวัญผูกข้อมือเสร็จ แล้วก็ให้พ่อแม่ญาติผู้ใหญ่และผู้ที่มาร่วมงานผูกข้อมือให้ส่างลองเสร็แล้ว จึงนำส่างลองกลับไปพักผ่อนที่บ้านเจ้าภาพ
วัน ที่สาม เป็นวัน ข่ามส่าง คือวันที่นำส่างลองไปบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดตั้งแต่ตอนเช้าผู้คนที่ได้รับ เชิญมาร่วมงานจะไปร่วมกันที่วัดจากนั้นจะมีการ ถ่อมคีค คืออ่านหนังสือให้ผู้มาร่วมฟัง
พิธี การพรรพชาสามเณร เริ่มที่นำส่างลองมานั่งต่อหน้าพระสงฆ์กล่าวคำขอ ขอผ้าจีวรแล้วนำไปเปลี่ยนจากชุดส่างลองเป็นสามเณรเสร็จแล้วมากล่าวคำขอศีล รับศีล พระผู้ใหญ่ให้โอวาทแนะนำสั่งสอนเสร็จแล้วจะมีเทศน์ ๑ กัณฑ์ เจ้าภาพถวายเครื่องไทยทาน ถวายต้นตะเป่ส่า พระสงค์อนุโมทนาเป็นเสร็จพิธี หากมีคณะบ้องไฟมาร่วมงาน จะนำบ้องไฟมาจุดเสร็จแล้วนำบ้องไฟที่ขึ้นแห่ไปรับ อะซู จากเจ้าภาพต่อไป
          วันที่สี่เป็น วันอ่องปอย หรือ วันฉลองส่างลอง มัน ทำเฉพาะในหมู่เจ้าภาพ ญาติมิตรเท่านั้น พิธีมีการสวดมนต์พระและเณรใหม่มาฉันอาหารที่บ้านหรือวัดถวายเครื่องไทยทาน พระสงฆ์อนุโมทนาเป็นอันเสร็จพิธี
        หลังจากจัดงานปอยส่างลองผู้คนทั่วไปก็จะเรียกคำนำหน้าใหม่และจะใช้เรียกตลอดไป


                                                         
                                                               ประเพณีบวชลูกแก้ว
                              ประเพณีบวชลูกแก้วในดินแดนล้านนาเป็นการบวชเณร
      

       การบวชลูกแก้วคือการที่เข้าพิธีบวชเณรในพระพุธศาสนาเพื่อตอบแทนคุณของบิดามารดา และเป็นผู้สืบทอดพระศาสนาซึ่งตามความเชื่อบิดามารดาที่บวชลูกจะได้อา ณิสงฆ์(ผลบุญ) 4 กัลป์
     การบวชลูกแก้วมักจะบวชกันก่อนเข้าพรรษาในราวเดือน พฤษภาคม-มีถุนายน ของทุกปี
     ปัจจุบัน การบวชลูกแก้วจะมีข้อกำหนดที่เปลี่ยนแปลงไปตามระเบียบของคณะสงฆ์ไทย เช่น ผู้ที่ต้องจบการศึกษาภาคบังคับต้องผ่านการสอบสามเณรสิกขาหรือผ่านการพิจารณา จากเจ้าคณะอำเภอเป็นต้นเมื่อเจ้าคณะอำเภอออกใบอนุณาติบวชให้แล้วเจ้าภาพแล้ เจ้าอาวาสก็จะร่วมพิธีบวชต่อไป
      การเตรียมพีธีสำหรับบวชลูกแก้วเจ้าภาพและผู้มีจิตศัทธา ซึ่งประกอบด้วยเครื่องอัฏฐบริขาร ครบ 8 อย่างและเครื่องใช้อื่นๆที่จำเป็นหรือเครื่องบวช ได้แก่จีวร อังสะ รัดปะคด ผ้าอาบน้ำ ผ้าปูนั่ง ผ้ากราบย่าม บาตร เครื่องนอน ได้แก่ หมอน มุ่ง ผ้าห่ม ผ้าปูที่นอน เสื่อ เตียง  เครื่องใช้อื่นๆ เช่น ปิ่นโต ถาด ถ้วย จาน ช้อน แก้วน้ำ คนโท ร่ม กระโถน เป็นต้น
       การบอกบุญงานบวชลูกแก้วในสมัยก่อนเป็นการบอกบุญกันด้วยวาจาแก่พี่น้องคนในหมู่บ้านและอาจจะมีการบอกบุญโดยทำเป็นพิธีการโดยการเอาผ้าสงบ จีวรหรือหมวก หรือใช้ผ้าปูนั่งห่อเครื่องอัฏฐบริขารแล้วขมวดปลายผ้าเป็นปมแล้วเอารูปประคำพันรอบปมผ้าแล้วนำไปวางบนพานถือไปบอกกล่าวแก่ญาติมิตรตามหมู่บ้านต่างๆซึ่งญาติมิตรที่รับทราบการบอกบุญจะนำปัจจัยใส่ลงในพานนั้นเพื่อร่วมอนุโมทนา  
   

 

 ข้อมูลอ้างอิงจากหนังสือ ประเพณี พีธีกรรม ท้องถิ่นไทย

 

 

                

                                                       ผู้แต่ง อุดม เชยถีวงค์

             ข้อมูลรูปภาพจากWWW.google.com