วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ประเพณีไหลเรือไฟ


ประเพณีไหลเรือไฟ


          แม่น้ำโขงคือ แม่น้ำที่กั้นสองฟากฝั่งระหว่างประเทศไทยกับประเทศลาว จังหวัดนครพนมเป็นตำแหน่งที่แม่น้ำโขงไหลผ่านกว้างที่สุดประมาณไม่ต่ำกว่า สองกิโลเมตร และฝั่งตรงข้ามก็คือ เมืองท่าแขก  แขวงคำม่วนประเทศลาว
         ณ บริเวณนี้ ในคืนแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ทั้งสองฟากฝั่งแม่น้ำโขงจะคึกคั่กด้วยผู้คนที่มาเที่ยวชมงานประเพณี ไหลเรือไฟและร่วมกันทำบุญมาตั้งแต่ตอนกลางวัน พร้อมทั้งรอชมความยิ่งใหญ่ตระการตาจากดวงไฟเล็กๆ  ที่ได้รับการจัดวางไว้อย่างงดงามวิจิตรบนเรือไฟที่จะล่องไปตามลำน้ำโขงนี้  เพื่อแต่งแต้มเติมความสว่างไสวฉาบฉายไปทั้งคุ้งน้ำ  โดยเชื่อกันว่า  เรือไฟที่ไหลไปนี้ ก็เพื่อเป็นการบูชา   รอยบาทพระพุทธองค์    ที่ประดิษฐาน อยู่ที่ริมฝั่ง แม่น้ำ นัมทามหานที
ประวัติ ความเป็นมา
          ประเพณีไหลเรืองไฟหรือ ไหลเฮือไฟตามสำเนียงภาษาอีสาน เป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ  นำยมจัดขึ้นในช่วงเทศกาลออกพรรษา  คือ ในคืนวันเพ็ญ (ขึ้น ๑๕ ค่ำ) เดือน ๑๑ หรือ คืนวันแรม ๑  ค่ำ เดือน ๑๑  
 
 ความเป็นมาของประเพณีไหลเรือไฟ
               นี้สือเนื้องจากความเชื่อที่เกี่ยวโยงและแตกต่างในหลายแง่มุม  บ้างก็ว่าเป็นการบูชา รอยพระพุทธบาท  บ้างก็ว่าเป็นการสักการะท้าวพกาพรหม บ้างก็ว่าเป็นการบวงสรวง พระธาตุจุฬามณี  กระทั้งไปจนถึงการระลึกพระคุณของพระแม่คงคาแตกต่างกันไป
 ความเชื่อเรื่องการบูชารอยพระพุทธบาทก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจ ไม่น้อยดังนี้
          ตามพุทธประวัติกล่าวไว้ว่า ในครั้งที่พญานาคได้ทูลอาราธนาพระพุทธองค์ให้ไปแสดงธรรมในพิภพของนาคให้เมืองบาดาลนั้น  เมื่อพระองค์เสด็จกลับ  ทางฝ่ายพญานาคได้ทูลขอให้พระองค์  ประทับรอยพระบาทไว้ ณ ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที  พระองค์จึงได้ประทับรอยพระบาทไว้     หาดทรายตามแม่น้ำตามประสงค์ ของพญานาคซึ่งรอยพระบาทที่ประทับไว้นี้  ไม่เพียงเป็นที่เคารพสักการะของเหล่าพญานาคเท่านั้น  ยังเป็นที่เคารพสักการะของของเหลาเทวดาและมนุษย์ด้วยจนมาเป็นเหตุถึงการไหลเรือไฟเพื่อบูชารอยพระบาท ของพระพุทธองค์
          ส่วนความเชื่อเรื่องการบูชา ท้าวผกาพรหม หรือ บรรพบุรุษ ปรากฏตามนิทานชาวบ้านที่เล่าสือต่อกันมาว่า  ครั้ง หนึ่งมีกาเผือกสอง ผัวเมียทำรังอาศัยอยู่บนต้นไม้ในป่า หิมพานต์ใกล้ฝั่งแม่น้ำ วันหนึ่งกาตัวผู้บินจากรังเพื่อไปหาอาหาร เผอิญหลงทางกลับรังไม่ได้จนบินกระเจิดกระเจิงหายไป  ส่วนกาตัวเมียซึงกำลังกกไข่ ๕ ฟองอยู่นั้น คอยผัวไม่กลับมาจึงกระวนกระวาย  จนอยู่มาวันหนึ่งเกิดพายุใหญ่พัดรังกาและทำให้ไข่ทั้ง ๕ ฟอง ตกลงในแม่น้ำ ส่วนแม่กาถูกพัดพาไปอีกทางหนึ่งครั้นพอลมสงบ  แม่กาบินกลับไปที่รังก้อพบว่า รังถูกพายุพัดพัง และไข่ทั้ง ๕ ฟองหายไปหมด  จึงเสียใจจนตายไป  ในที่สุดไปเกิดใหม่บนพรหมโลก  ชื่อท้าวพกาพรหม  ส่วนไข่ทั้ง ๕ ฟอง มีผู้นำไปรักษาดังนี้
         ฟอกแรกแม่ไก่เอาไป  ฟองที่สองแม่นาคเอาไป  ฟองที่สามแม่เต่าเอาไป  ฟองที่สี่แม่โคเอาไป  และฟองสุดท้ายแม่ราชสีห์เอาไป  ครั้นเมื่อไข่ครบกำหนดฟักแตกออกมากลับกลายเป็นมนุษย์ไม่ใช่ลูกกาตามปรกติ  ครั้นเมื่อลูกกาทั้ง ๕ เติบโตเป็นหนุ่ม เห็นโทษของกานเป็น ฆราวาส และเห็นถึงอานิสงส์แห่งบรรพชา  จึงได้ลามารดาเลี้ยงออกบวชเป็นฤาษี  อยู่ในป่าหิมพานต์  วันหนึ่งฤาษีทั้ง ห้า ได้มาพบกัน จึงได้ไต่ถามถึงเรื่องราวซึงกันและกัน และพร้อมใจกันอธิฐานว่า  ถ้าต่อไปจะได้เป็นสมเด็จพระพุทธเจ้าขอให้ร้อนไปถึงมารดาด้วย  แรงอธิฐานครั้งนั้นจึงได้ร้องถึงท้าวพกาพรหม  และเสด็จจากพรหมโลก  จำแลงองค์เป็นกาเผือก บินมาเกาะบนต้นไม้  ต่อหน้าฤาษีทั้ง ๕ และเล่าเรื่องเดิมให้ฟังและกล่าวว่า
         “ถ้าคิดถึงแม่  เมื่อวันเพ็ญเดือน ๑๑ และเดือน ๑๒ ให้เอาด้ายดิบ  ผูกไม้ตีนกาปักธูปเทียนบูชา  ลอยกระทงในแม่น้ำเถิด  ทำอย่างนี้เรียกว่าคิดถึงแม่ ” เมื่อบอกเสร็จท้าวผกาพรหมก็ลากลับไป จนกลายเป็นที่มาของการลอยกระทงและไหลเรือไฟ
          ประเพณีไหลเรือไฟของจังหวัดต่างๆ ในภาคอีสาน  ได้มีประเพณีและพิธีสืบเนื่องมาตั้งแต่โบราณ   โดยเฉพาะจังหวัดนครพนมได้ยึดถือมาเป็นระเบียบจุฬามณีบนสวรรค์  ตามพุทธประวัติกล่าวไว้ว่า  เมื่อครั้งที่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวช  ได้ทรงตัดพระเกศาแล้วโยนขึ้นไปบนอากาศ  พระ อินได้นำผอบมารับไปบรรจุไว้ในพระธาตุจุฬามณีเจดีย์เป็นที่สักการบูชาของ เหล่าเทวดานางฟ้า และมีความเชื่อกันว่าการบูชาจุฬามณีเจดีย์จะได้รับอานิสงส์ไปร่วมเกิดร่วม พระศาสนากับพระศรีอาริย์
            สำหรับความเชื่อเรื่องการขอคมาและระลึกถึงคุณพระแม่คงคา  การไหลเรือไฟถอว่าเป็นการกระทำเพื่อระลึกถึงพระคุณของน้ำนั้นเอง  ทั้งนี้ไม่ว่าประเพณีการไหลเรือไฟจะมีที่มาจากตำนานใดก็ตาม  แต่การไหลเรือไฟก็เป็นการสร้างความสมัครสมานสามัคคีในหมู่คณะด้วยกันเองเพราะเมื่อถึงฤดูการทำเรือไฟ  ทุกคนก็จะช่วยกันตกแต่งเรือไฟอย่างแข็งขันทุกปี

การทำเรือไฟสำหรับประกอบพิธีไหลเรือไฟ 
         มักจะประดิษฐ์ด้วยต้นกล้วย  หรือไม่ก็ใช้ไม้ไผ่ต่อกันเป็นเรือแพยาวประมาณ ๘-๑๐ วา โดยสานไม้ไผ่เป็นโครง ส่วนรูปร่างนั้นขึ้นอยู่กับช่างที่จะเป็นผู้ออกแบบ  ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นรูปองค์พระธาตุ พนมเป็นหลัก  ภาในเรื่อจะบรรจะด้วยขนม  ข้าวต้มมัด กล้วย อ้อย หมาก พลู บุหรี่ และเครื่องไทยทานต่างๆ  เป็นจำนวนมาก  ส่วนด้านนอกของลำเรือก็มีดอกไม้ ธูปเทียน  ตะเกียง  และใต้สำหรับจุดให้เกิดแสงสว่างไสวเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา แล้วปล่อยเรือไฟให้ลอยไปตามกระแสน้ำไหลของแม่น้ำโขง
            แต่เรือไฟในปัจจุบัน  มีความแตกต่างจากในอดีตมาก ทั้งในด้านความใหญ่โตมโหฬาร  ความสวยงาม  มีการออกแบบให้เข้ากับเหตุการณ์มีการนำเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาช่วย  เช่นการใช้เรือจริงมาแทนต้นกล้วยที่ต่อเป็นแพ  มีการใช้ตะเกียงน้ำมันและคบไฟน้ำมันยาง  เป็นต้น
พิธีไหลเรือไฟ
             พิธีที่ถือปฏิบัติกันมานั้น  มีการประกอบกุศลด้วยการไปทำบุญ  ตักบาตรในตอนเช้า  พอถึงเวลาเพล  ก็จะมีการถวายภัตตาหารเพลแล้วก็มีการเลี้ยงข้าวปลาอาหารแก่ญาติโยม  ที่มาในช่วงบ่าย  ระหว่างนี้ก็จะมีกาลเล่นพื้นบ้านต่างๆเพื่อความสนุกสนาน  รวมทั้งมีการรำวงเป็นการฉลองเรือไฟ  จากนั้นพอประมาณพลบค่ำก็จะนิมนต์พระสงฆ์ให้มาทำพิธีสวดมนต์  และผู้ที่จะร่วมพิธีรับศิลและฟังเทศน์ต้องมีธูป  เทียน  เพื่อประกอบพิธีกรรมในทางพระพุทธศาสนา  ส่วนดอกไม้นั้น  ได้ประดับติดตั้งบนเรือไฟ  ครั้นถึงเวลาประมาณ  ๑๙ ๒๐ นาฬิกา ก็จะทำพิธีจุดไฟในลำเรือแล้วปล่อยให้ลอยล่องไปตามลำแม่น้ำโขง  เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา





แหล่งที่มา : หนังสือประเพณีและการเล่นทางน้ำของไทย
เรียบเรียงโดย :   ศิริพร  แก้วก่า 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น